จากกรณีนักแสดงสาวตาคม พิ้งกี้ สาวิกา และคุณแม่ อ้อย สรินยา ที่ยังคงถูกคุมขั-ง ล่าสุด แพท พาวเวอร์แพท ฝากถึง พิ้งกี้
โดย แพท พาวเวอร์แพท เปิดใจว่า ดีใจได้มาช่วยงานราชทัณฑ์ บอกจัดต่อเนื่องทุกปี ชวนอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของพี่น้องผู้ต้องขั-ง พร้อมฝากถึง พิ้งกี้ ให้รับสภาพความเป็นจริงให้ได้เร็วที่สุด
อย่าไปคิดถึงอดีตหรืออนาคต ลั่นตอนนี้เรือนจำไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สิทธิความเป็นมนุษยชนขั้นพื้นฐานมีเต็มที่
ซึ่งเคยหลงผิดและต้องรับโทษในเรือนจำนานกว่า 16 ปี ก่อนได้รับอิสรภาพและกลับคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เจ้าตัวให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับตัวและชีวิตในเรือนจำให้ฟัง
โดย แพท เผยว่า…“ผมว่าจุดเริ่มต้นอาจจะต้องอยู่บนความจริงก่อน ว่า ณ วันนี้หรือในเวลาอันใกล้นี้เราจะต้องอยู่ในเรือนจำแน่ ๆ การที่เราจะต้องอยู่แน่ๆ เราจะทำยังไงให้อยู่แล้วมีความสุข ให้อยู่กับคนอื่นให้ได้
อันดับแรกก็ต้องปรับตัวกับเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องกฎระเบียบต่างๆ ความเป็นอยู่แน่นอนมันลำบากคงจะไม่เหมือนที่บ้าน
แต่เราต้องอยู่แล้ว ก็ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ใจเราให้ได้ และพยายามมองหาสิ่งที่จะมาชดเชยเวลาที่อาจจะปล่อยไป มันทำให้เราเครียดได้ เช่น
อ่านหนังสือ วาดรูป เรียน เล่นกีฬา หรือหากิจกรรมอะไรที่เขามีให้ทำในเรือนจำ ที่จะทำให้เราใช้เวลาได้อย่างมีประโยชน์ แล้ววันหนึ่งมันจะผ่านไปได้ไว
พอเป้าของเราก็จะเปลี่ยนไป ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องข้างนอก มองถึงสิ่งที่เราอยู่ เรื่องที่เราอยู่ตรงหน้า เรื่องอดีต อนาคตอะไรตัดไปก่อน มองแค่วันนี้ พรุ่งนี้ แบบนี้จะช่วยได้มาก ส่วนการปรับตัวถามว่ายากแค่ไหน อันนี้อยู่ที่บุคคล
แต่สำหรับผมเวลามันจะทำให้เราค่อยๆ ซึมซับและเคยชินไปเอง คิดว่าคงไม่นาน และเดี๋ยวนี้ราชทัณฑ์ก็ไม่ได้โหดร้ายนะ เขาก็ปกครองกันแบบพี่แบบน้อง การเป็นอยู่
เขาก็พยายามให้เราอยู่ในสภาพที่เหมาะสมตาม รวมถึงดูแลสิทธิมนุษยชน เรื่องอาหารการกินที่พักหรือความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ที่เขาจะจัดให้กับทางผู้ต้องขังอยู่แล้ว ผมว่าใช้เวลาแป๊บนึงก็น่าจะปรับตัวได้”
ระหว่างที่รอพิจารณาคดีอยู่ในเรือนจำ เราจะโดนจำกัดเรื่องการเส พสื่อ เราต้องเข้าใจตรงนี้ ในเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยของทางเรือนจำเขา แต่การติดต่อกับญาติหรือคนภายใน

เขาสามารถติดต่อได้ ทางเรือนจำก็จะมีจดหมาย มีอีเมล์ มีการพบญาติผ่านไลน์ เหมือนกับวิดีโอคอล ที่อยู่ในขอบเขตที่ทางราชทัณฑ์เขากำหนดให้
ไม่ได้ตัดขาดโลกภายนอกไปซะทีเดียว ยังมีหลาย ๆ ทางที่ราชทัณฑ์ทำอยู่ เราไม่สามารถเช็กข่าวตัวเองได้เลย แต่สามารถติดต่อคนภายนอกได้ ญาติสามารถมาเยี่ยมได้ อันนั้นก็สอบถามได้
แต่ถ้ามานั่งดูข่าว คือไม่มีข่าวให้ดู ไม่มีเลย หนังสือพิมพ์ก็ไม่มี ไม่มีสื่อบันเทิง ถ้าเป็นข่าวที่เกี่ยวกับความล่อแหลมหน่อย เกี่ยวกับเรื่องคดี เรื่องความรุนแรง คือไม่มีเลย
แต่ถ้าจะติดต่อทนายความได้อยู่แล้ว มันเป็นสิทธิที่เขากำหนดให้ติดต่อทนายความได้ในระหว่างที่เราอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี ยืนยันว่าชีวิตความเป็นอยู่ข้างในเราไม่ได้ลำบากขนาดนั้น แค่ปรับตัวให้ได้
แต่มันอาจจะไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่บ้านแน่ต้องอยู่กับคนหมู่มาก โดยความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน ราชทัณฑ์ยุคนี้เขาจัดให้เต็มกำลังแล้ว
ถามว่าถ้าออกมาแล้วสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ไหม อันนี้มันอยู่ที่ตัวบุคคล คือการเข้าไปอยู่เรือนจำไม่ได้หมายความว่าชีวิตมันจบสิ้นแล้ว มันเป็นแค่ช่วงชีวิตนึงของคนๆ นึงเท่านั้นเอง
ถ้าเรามองให้มันเป็นเรื่องของอาจจะเป็นความโชคร้ายอะไรก็แล้วแต่ แต่ในความโชคร้ายหรือทุกอย่างในโลกนี้มันมีสองด้าน เราก็ต้องมองในสิ่งที่ดี
เราอาจจะมีเวลาได้ทบทวนตัวเองในสิ่งที่ทำผิดพลาด เราอาจจะได้มีเวลาพูดคุยกับพ่อแม่เราบ่อยขึ้น มีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ฝึกเกี่ยวกับเรื่องจิตสมาธิ เรื่องศาสนา ซึมซับหาหนทางดีๆ ใหม่ๆ ให้กับตัวเองก็ได้ มันมีสิ่งดีๆ มากมายอยู่ในนั้น
แต่ไม่ได้อยากให้ทุกคนเข้าไปนะ แต่ในเมื่อต้องเข้าไปอยู่แล้ว ผมว่าให้มองในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราดีกว่า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างทุกสถานที่มันมีทั้งสองด้านครับ”
ชมคลิป
ที่มา: NineEntertain Official